27 สิงหาคม 2552

@ เที่ยวเกาะค้างคาว ทะเลใกล้กรุงเทพฯ

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ไทยเที่ยวไทย

ทริปนี้ต้นตาลขอแนะนำแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก พอนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวทะเลสวยๆ ดำน้ำดูปะการัง พายเรือคายัค ตกปลา ก็ให้นึกถึงแต่สถานที่เที่ยวที่อยู่ไกลๆ ภูเก็ต พังงา กระบี่ ฯลฯ แต่ปัจจุบัน จะกินลมชมวิว ดำน้ำดูปะการัง ตกหมึก ตกปลา หรือทานอาหารทะเลสด ก็มีแหล่งท่องเที่ยวให้เพื่อนๆที่มีเวลาอันจำกัดได้เที่ยวอย่างสนุกครบครันแล้วใกล้ๆ กรุงเทพฯ นี่เองที่ เกาะค้างคาว จ.ชลบุรี

การเดินทางก็สะดวก ยิ่งรถส่วนตัวแล้วแค่ไม่กี่อึดใจก็ถึงที่หมายเกาะค้างคาว การไปกับทัวร์นำเที่ยวก็สะดวกสบาย มีเจ้าหน้าที่ให้บริการอย่างดี การท่องเที่ยวก็มีหลายโปรแกรมให้เลือกจะไปเช้า – เย็นกลับ หรือนอนพักค้างคืน ก็มีกิจกรรมทางน้ำให้ทำมากมาก อาทิ ล่องแพทะเลรอบเกาะ ดำน้ำดูปะการัง ชมปลาสวยงาม พายเรือคายัค ตกหมึก – ตกปลา กีฬาชายหาด อิ่มหนำสำราญด้วยปาร์ตี้ ปิ้ง ย่าง อาหารทะเลสดๆ ใครที่นอกพักค้างคืนก็สามารถนอนชมวิวทะเลยามค่ำคืน ฟังเสียงคลื่น ได้อย่างเพลิดเพลินใจ

ลองชมภาพแห่งความประทับใจดู




หรือติดต่อค้างคาวทัวร์ T.0-2882-2669 ก็จะมีเรือมารับที่จุดนัดพบเพื่อเดินทางไปเกาะค้างคาวค่ะ
ขอบคุณ http://www.kangkao.com/



08 สิงหาคม 2552

@ เที่ยวฤดูฝน ยลป่ากว้าง อุทยานแห่งชาติเชียงดาว

ก็ยังคงวนเวียนอยู่แถวๆ จ.เชียงใหม่ อยู่เลยนะคะ ใครที่เตรียมตัวแพ็คกระเป๋าลาพักร้อน (หยุดยาว) เพื่อไปร่วมงาน "คนไทยยินดี ลูกหมีได้ชื่อ" ในวันที่ 12 – 16 สิงหาคม 2552 เพื่อฉลองที่อาหมวยแพนด้าจะได้ชื่ออย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ซึ่งถือเป็นแพ็คเก็จพาแม่เที่ยว "วันแม่แห่งชาติ" ที่สวนสัตว์เชียงใหม่กันไปในตัว และคงได้มีเวลาท่องเที่ยวที่เชียงใหม่กันอย่างเพลิดเพลิน ต้นตาลเลยจะพาเพื่อนๆ ไทยเที่ยวไทย เที่ยวฤดูฝนไปขึ้นดอย ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามกัน



เชื่อมั๊ยคะ ช่วงฤดูฝน เมืองไทยของเรามีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปสัมผัสอยู่มากมาย โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ แนวผจญภัย น้ำตก ล่องแก่ง เดินป่า ต่างเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงฤดูฝนของนักท่องเที่ยวที่หลงรักธรรมชาติกันเลยทีเดียว เพราะฤดูฝนได้เนรมิตความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ทั้งพืชพรรณไม้ที่เขียวชอุ่ม ท้องฟ้าหลังฝนที่สดใสแปลกตา ความงดงามของผืนฟ้าจะสร้างมุมมองใหม่ๆให้ได้ค้นหามากมาย เมื่อเพื่อนๆ ไทยเที่ยวไทย ได้มีโอกาสไปเที่ยวเชียงใหม่แล้ว อยากให้ลองแวะไปสัมผัส "อุทยานแห่งชาติเชียงดาว" ขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์บนยอดดอย แล้วจะพบกับความสวยงามของธรรมชาติที่เรียกความสดชื่นให้กับเราได้อย่างมหัศจรรย์


อุทยานแห่งชาติเชียงดาว

เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ตั้งอยู่ที่ อ. เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ที่อุทยานแห่งนี้ยังคงมีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ เป็นต้นน้ำลำธารของแม่น้ำปิงและแม่น้ำแตง มีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง ทั้ง ถ้ำ น้ำตก และจุดชมวิว

น้ำตกศรีสังวาลย์

เหมาะแก่การเที่ยว แคมป์ปิ้ง และเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เป็นน้ำตกหินปูนขนาดกลางที่สวยงาม มีน้ำตกไหลถึง 3 ชั้น กว้างประมาณ 10 - 12 เมตร และสูงประมาณ 10 - 15 เมตร

น้ำตกปางตอง

เป็นน้ำตกที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า เกิดจากลำน้ำขุ่นแม่งาย น้ำจะไหลลงจากเขาลอดลงรูไปใต้ดิน แล้วไหลออกจากรูลงหน้าผาเป็นน้ำตก 3 ชั้น มีลักษณะเด่นสวยงามเฉพาะตัว เหมาะกับกิจกรรมเที่ยวน้ำตก

ถ้ำแกลบ

เป็นถ้ำเกิดจากเขาหินภายในถ้ำ กว้างถึง 10 เมตร ผนังถ้ำด้านบนมีหินงอกหินย้อย สวยงามสลับกันไป มีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนบนภูเขาใกล้เคียงก็มีฝูงลิงอาศัยอยู่ เหมาะกับการเที่ยวถ้ำและศึกษาธรณีวิทยา

ถ้ำลม

เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ ที่เรียกกันว่า “ถ้ำลม” เนื่องจากทางลงไปในถ้ำจะมีลมเข้าไปตลอดเวลา ทำให้อากาศภายในถ้ำโปร่งและเย็นสบาย ถ้ำนี้ก็มีหินงอกหินย้อยลักษณะสวยงามแปลกตา ระยะทางเดินภายในถ้ำประมาณ 1,500 เมตร

บ่อน้ำร้อนโป่งอ่าง

ตั้งอยู่ในบริเวณทางเข้าหมู่บ้านบริเวณโป่งอ่าง เป็นบ่อน้ำร้อนขนาดเล็ก มีแก๊ส กำมะถัน และควันไอน้ำระเหยขึ้นมา มีน้ำไหลตลอดปี น้ำมีอุณหภูมิสูง 70-80 องศาเซลเซียส มีนกหลายชนิดชุกชุม ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติไปทางทิศใต้ประมาณ 3 กิโลเมตร เหมาะสำหรับกิจกรรมอาบน้ำแร่

นอกจากนั้นยังมีจุดชมวิวบนยอดดอยอีกหลายจุด เช่น ดอยผาตั้ง ดอยผาแดง และดอยถ้วย สามารถชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามทั้งในเขตประเทศไทย และทิวเขาในเขตประเทศพม่าได้

หากเพื่อนๆ ไทยเที่ยวไทย อยากเที่ยวฤดูฝนสัมผัสความมหัศจรรย์ของธรรมชาติในบรรยากาศฟ้าหลังฝน กันที่ "อุทยานแห่งชาติเชียงดาว" ก็ติดต่อได้ที่ อุทยานแห่งชาติเชียงดาว ต.เมืองนะ อ. เชียงดาว จ. เชียงใหม่ 50170 โทรศัพท์ 0 5326 1466



29 กรกฎาคม 2552

@ แอ๋วเชียงใหม่-ชมแพนด้า-ล่องน้ำปิง-เที่ยวน้ำตก

ช่วงนี้กระแสของ "แพนด้าน้อยฟีเวอร์" กำลังมาแรงทำให้นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลไป จ.เชียงใหม่ เพื่อไปเยี่ยมเจ้าแพนด้าน้อยกันอย่างหนาตา ซึ่งวันที่ 6 ส.ค. ที่ใกล้จะมาถึงนี้ก็จะเป็นวันเกิดของ “ช่วง ช่วง” คุณพ่อของแพนด้าน้อย เราก็จะได้เห็น "พ่อ-แม่-ลูก" ได้อยู่กันพร้อมหน้า แถมอีกไม่นานเกินรอก็จะได้เรียกชื่อเจ้าแพนด้าน้อยอย่างเป็นทางการกันแล้ว แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวที่ไปชม "แพนด้าน้อย" ในสวนสัตว์เชียงใหม่ต่างก็เรียกชื่อแพนด้าน้อยกันล่วงหน้าว่า "หลินปิง" ซะแล้ว

หากใครได้มีโอกาสไปเที่ยวเชียงใหม่ในช่วงของ "แพนด้าน้อยฟีเวอร์" ล่ะก้อ ต้นตาลมีทริปดีๆมาแนะนำ สำหรับคนผจญภัยหัวใจสีเขียว รักท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อยากจะรื่นรมย์ ดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติ จ.เชียงใหม่ ก่อนจะกลับมาลุยงานกันต่อ ก็มีอยู่ 2 ทริป ที่จะมาแนะนำให้เพื่อนๆ ไทยเที่ยวไทยค่ะ

ทริปแรก "เรือหางแมงป่อง ล่องแม่ปิง" อ.เมือง จ.เชียงใหม่




ไหนๆ ก็ไปเที่ยวตามกระแสฟีเวอร์ของ "แพนด้าน้อย" อยู่แล้ว ชื่อ "หลินปิง" ที่มีการส่งไปรษณียบัตรโหวตกันอยู่ตอนนี้ก็นำโด่งซะด้วย มีโอกาสสูงที่แพนด้าน้อยจะมีชื่อเป็นทางการว่า "หลินปิง" ต้นตาลก็เลยเกาะกระแสแนะนำที่เที่ยว "เรือหางแมงป่อง ล่องแม่ปิง" (Scorpion tailed River Criuse) ชมธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำปิง ตามชื่อ "หลินปิง" ไว้ล่วงหน้าซะเลย ฮิ..ฮิ.. เรือจะล่องเป็นรอบๆ เริ่มตั้งแต่ 9.00 น., 11.00 น., 13.00 น., 15.00 น. และ 17.00 น.ใช้เวลาล่องแต่ละรอบประมาณ 1.30 ช.ม. เริ่มต้นลงเรือที่ท่าศรีโขงหน้าวัดศรีโขง ล่องผ่านคุ้มเจดีย์กิ่วซึ่งเคยเป็นคุ้มพระชายาดารารัศมี, คุ้มเจ้าแก้วนวรัฐ,วัดเกตการาม, ท่าวัดเกต ชุมชนชาวเรือหางแมงป่องในอดีต ฯลฯ นักท่องเที่ยวจะได้ทราบเรื่องราวในอดีตและชมทัศนีย์ภาพแบบดังเดิมของสายน้ำปิง เพื่อนๆ ไทยเที่ยวไทย สนใจทริปนี้ติดต่อที่ 08-1960-9398 หรือที่ www.scorpiontailed.com นะคะ

ทริปสอง "น้ำตกหมอกฟ้า" อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

น้ำตกแห่งนี้จะมีน้ำไหลตลอดทั้งปี เป็นน้ำตกที่สวยงามอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย นอกจากน้ำตกแล้ว บริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยธรรมชาติเล็กๆน้อยๆที่สวยงาม มีถ้ำหมอกฟ้า และเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ บรรยากาศสงบ ร่มรื่น เหมาะสำหรับผู้ที่รักธรรมชาติโดยแท้ มีบ้านพัก ห้องน้ำ ร้านอาหารพร้อม ยามเช้าช่วงเวลา 9.00-10.30 น. เท่านั้นที่น้ำตกหมอกฟ้าจะมีรุ้งกินน้ำ ซึ่งเป็นจุดเด่นของน้ำตกหมอกฟ้า เพื่อนๆ ไทยเที่ยวไทยสามารถเดินทางไปตามเส้นทางสายเชียงใหม่-ฝาง (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 107) ถึงทางแยกบ้านแม่มาลัย อ.แม่แตง เลี้ยวซ้ายตามถนนสายแม่มาลัย-ปาย (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1095) จะเจอทางเข้าน้ำตกด้านซ้าย เลี้ยวแล้วขับเข้าไปอีก 2-3 กิโลเมตร หรือสอบถามที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย โทร. 0 5321 0244

ไปทีเดียวเที่ยวให้คุ้มกันนะคะ....จะได้ช่วยกัน "เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก"

21 กรกฎาคม 2552

@ ผจญภัยเที่ยวไทย ไปล่องแก่งหินเพิง


สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ "ไทยเที่ยวไทย" ทุกคน

วันนี้ต้นตาลมาตามสัญญาที่จะชวนเพื่อนๆ "ไทยเที่ยวไทย" ที่รักษ์สิ่งแวดล้อมออกไปผจญภัยกับกิจกรรมยอดนิยมของคนหัวใจสีเขียว ด้วยการท่องเที่ยวเชิงนิเวศกับกิจกรรมที่ขึ้นชื่อ นั่นคือการไป "ล่องแก่งหินเพิง" ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มรดกไทยสู่มรดกโลกของเรานั่นเอง

กิจกรรม "ล่องแก่ง" เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวแนว Adventure ยอดนิยมในช่วงเดือนมิถุนายน – ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงของฤดูฝนน้ำไหลหลาก หลังจากเพื่อนๆ "ไทยเที่ยวไทย" ได้รู้ถึงวิธีปฏิบัติตนในการเที่ยวน้ำตกหรือเล่นล่องแก่งกันมาแล้ว ก็ได้เวลาออกสตาร์ทไปกับการผจญภัยที่สุดแสนจะตื่นเต้นได้เล้ย !!!

ทำไมต้องไป "ล่องแก่งหินเพิง" กลางลำน้ำใสใหญ่

ก็เพราะว่าในฤดูฝนกระแสน้ำบริเวณแก่งหินเพิงจะไหลรุนแรงมาก จนทำให้เกิดเกาะแก่งต่าง ๆ มากมาย ผู้ที่ชอบความท้าทายไปกับกระแสน้ำวนและเชี่ยวกราก แก่งหินเพิงจึงเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รักการผจญภัยแนวนี้ นักล่องแก่งต้องใช้ความสามารถและทักษะในการพายเรือยางเป็นอย่างยิ่ง ในสภาพแก่งน้ำอยู่ในระดับ 3 -5 ต้องร่วมแรงร่วมใจกันพายเพื่อให้ผ่านพ้นโขดหิน กระแสน้ำวน หรือคลื่นใหญ่ม้วนตัวที่เกิดขึ้นตลอดเส้นทางการล่องแก่ง

ระยะเวลาในการล่อง

จากแก่งหินเพิงเป็นจุดเริ่มต้นในการล่องไปจนถึงแก่งงูเห่าเป็นแก่งสุดท้าย ล่องผ่านแก่งต่างๆ ถึง 6 แก่ง ได้แก่ แก่งหินเพิง แก่งวังหนามล้อม แก่งวังบอน แก่งลูกเสือ แก่งวังไทร และ แก่งงูเห่า เป็นระยะทาง 2.5 กม.ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

ความตื่นเต้น ท้าทาย

การล่องแก่งสายนี้จุดเด่นอยู่ที่ตัวแก่งหินเพิงอันเป็นจุดเริ่มต้นของการล่องแก่ง ตัวแก่งหินเพิงมีลักษณะเป็นลานหินหักเทลื่นลงมาจนเกิดเป็นกระแสน้ำวนและเชี่ยวกราก ต้องใช้ความสามารถและทักษะในการพาย จากจุดเริ่มต้นเหนือแก่งหินเพิงลงมาจะผ่านแก่งวังหนามล้อม มีลักษณะเป็นวังน้ำขนาดใหญ่กระแสไหลวนไปมา แก่งวังบอน บริเวณนี้จะมีโขดหินสองฝั่งขวางกระแสน้ำอยู่บีบให้กระแสน้ำเข้าหากับเป็นรูปตัววี และถ้าผ่านแก่งวังบอนมาได้ กระแสน้ำหลังแก่งวังบอนจะไหลย้อนทิศทาง น้ำจะไหลเอื่อย ๆ ตรงนี้สามารถพักเรือบริเวณนี้ได้ ล่องเรือต่อมาจะพบกับแก่งลูกเสือ ซึ่งมีความสนุกสนานเร้าใจไม่แพ้แก่งหินเพิง และผ่านไปจนถึงแก่งวังไทรเป็นแก่งหินกว้างประมาณ 50-60 เมตร ยาวประมาณ 150 เมตร มีความลาดชันประมาณ 30 องศา กระแสน้ำจะไหลผ่านเกาะแก่งต่างๆ แล้วม้วนตัวเป็นวงคลื่นต้องใช้ทักษะความชำนาญในการพายเรือค่อนข้างสูง และแก่งงูเห่าก็เป็นแก่งสุดท้ายของการล่องแก่งกลางลำน้ำใสใหญ่นี้

การล่องแก่งหินเพิงส่วนมากจะมาขึ้นฝั่งกันบริเวณแก่งวังไทร เพราะมีห้องสุขาและห้องอาบน้ำไว้บริการนักล่องแก่ง หรืออยากจะพักผ่อนนั่งรับประทานอาหารกลางวันที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ก็ได้ เป็นอันสิ้นสุดการผจญภัยในแก่งหินเพิง


สถานที่ตั้ง

หน่วยพิทักษ์ป่าเขาใหญ่ 9 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี


การเดินทางไปแก่งหินเพิง

เริ่มจากตัวเมืองปราจีนบุรีใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 3452 (ปราจีนบุรี-ประจันตคาม) ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร จะมาตัดกับทางหลวงหมายเลข 33 แล้วเลี้ยวขวาตรงไปทางอำเภอกบินทร์บุรี ก่อนถึงอ.กบินทร์บุรีจะมีทางสามแยก ให้ตรงไปอีกเล็กน้อยจะเห็นปั๊มน้ำมันปตท. และโรงเรียนวัดสระดู่ มีถนนเล็ก ๆ ติดกับโรงเรียนเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 200 เมตร จะมีป้ายบอกตลอดเส้นทาง


ขอบคุณ..เว็บไซต์จังหวัดปราจีนบุรี

14 กรกฎาคม 2552

@ 10 วิธีปฏิบัติตนในการเที่ยวน้ำตก - เล่นล่องแก่ง

เป็นไงบ้างคะ หยุด Long Weekend ช่วงเทศกาล "วันเข้าพรรษา" เพื่อนๆคงได้ไปร่วมทำบุญตามประเพณี มีความสุขกันถ้วนหน้า ซึ่งคราวที่แล้วต้นตาลก็ได้ชวนไปทำบุญ "ไหว้พระ 9 วัด" กันในเมืองหลวง เพื่อให้เพื่อนๆ "ไทยเที่ยวไทย" ได้พาลูกหลานไปทำบุญเข้าวัดกันโดยที่ไม่ต้องเดินทางที่ไกลมาก


ครั้งนี้ต้นตาลขอเปลี่ยนบรรยากาศเอาใจเพื่อน "ไทยเที่ยวไทย" ที่ชื่นชอบธรรมชาติและการผจญภัย โดยจะพาไป "ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ - ผจญภัย" ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวน้ำตกหรือเล่นล่องแก่ง ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงในช่วงฤดูฝน ประกอบกับสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมีความสวยงามอย่างมาก แน่นอนที่สุดก็คือความปลอดภัย ที่เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะในช่วงฤดูฝนจะเพิ่มความเสี่ยงให้การเกิดอันตรายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเกิดน้ำป่าไหลหลาก


วันนี้ต้นตาลเลยมีข้อแนะนำดีๆ จาก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ที่ออกมาให้คำแนะนำทุกปีเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตนในการเที่ยวน้ำตกหรือเล่นล่องแก่งมาฝากกันไว้ก่อนนะคะ


10 วิธีปฏิบัติตนในการท่องเที่ยว "น้ำตก" และ "เล่นล่องแก่ง"

1. ผู้นิยมเที่ยวน้ำตกควรศึกษาข้อมูลสภาพพื้นที่ที่จะเดินทางไปท่องเที่ยว
2. เลือกน้ำตกที่มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัยและมีระบบแจ้งเตือนภัยที่ได้มาตรฐาน
3. หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำภายหลังเกิดฝนตกหนักบริเวณยอดเขาอย่างเด็ดขาด
4. หากพบป้ายเตือน “ห้ามเล่นน้ำบริเวณนี้” ไม่ควรฝ่าฝืน ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
5. หากสังเกตธารน้ำตกกระแสน้ำไหลแรง น้ำเปลี่ยนเป็นสีขุ่น ให้รีบขึ้นไปอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย เพราะอาจเกิดน้ำป่าไหลหลากขึ้นได้
6. หากจำเป็นต้องตั้งแคมป์พักแรม ควรตั้งแคมป์อยู่ในที่สูงห่างจากสายน้ำพอสมควร
7. การล่องแก่ง ก่อนเล่นควรสำรวจเส้นทางลำน้ำและกระแสน้ำทุกครั้ง
8. ควรศึกษาข้อปฏิบัติให้ชัดเจน สวมหมวกนิรภัย และสวมเสื้อชูชีพทุกครั้งที่เล่นล่องแก่ง
9. หากตกจากเรือให้หงายตัวลอย อย่าคว่ำหน้า ให้น้ำพัดจนพ้นแก่งแล้วค่อยปีนกลับเข้าเรือหรือว่ายน้ำเข้าฝั่ง
10. ควรปฏิบัติตามระเบียบ คำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด



การเตรียมตัวที่ดีและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ และป้ายคำเตือนอย่างเคร่งครัดไม่เพียงแต่จะช่วยให้การเดินทางปราศจากอุปสรรค แล้วยังช่วยให้การท่องเที่ยวเป็นไปด้วยความปลอดภัย ห่างไกลจากอุบัติภัยร้ายแรงที่คาดไม่ถึงนะคะ

แล้วพบกับกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ – ผจญภัย “ล่องแก่งหินเพิง” ซึ่งเป็นกิจกรรมยอดนิยมของคนผจญภัยหัวใจสีเขียวกันครั้งหน้าค่ะ
ที่มา : กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย / ภาพในอินเตอร์เน็ต

30 มิถุนายน 2552

@ ไหว้พระ 9 วัด ในกรุงเทพ (ตอนจบ)

สวัสดีค่ะ...หลังจากที่ต้นตาลได้พาทัวร์เพื่อท่องเที่ยวไหว้พระในเมืองหลวงไปแล้ว 6 วัด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวัดที่มีชื่อเสียงและมีความหมายเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ถ้าได้มีโอกาสได้ไปสักการะกราบไหว้กัน

วันนี้ก็จะเป็นตอนจบของการเชิญชวนไปทำบุญ “ไหว้พระ 9 วัด” ก่อนที่จะถึงเทศกาล “วันเข้าพรรษา” โดย 2 ตอนที่แล้วได้พูดถึงการไปไหว้พระกับวัดที่เป็นสิริมงคลในด้าน ความมั่นคง มั่งคั่ง และมีชื่อเสียง กันไปแล้ว ครั้งนี้จะพาไปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดที่เสริมสร้างความเป็นสิริมงคลด้าน ความมีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่วไป โดยเริ่มจาก





วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดแจ้ง ตั้งอยู่ที่ถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ เดิมชื่อวัดมะกอก เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา
พ.ศ.2310 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้เสด็จฯ จากกรุงศรีอยุธยามาถึงหน้าวัดมะกอกตอนรุ่งสาง จึงโปรดเกล้าฯให้เทียบเรือพระที่นั่งเพื่อเสด็จฯ ขึ้นไปสักการะพระมหาธาตุและกำหนดพื้นที่เมืองธนบุรีให้เป็นราชธานี พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อวัดมะกอกว่า “วัดแจ้ง”
“พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก” พระประธานในพระอุโบสถ หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยกล่าวกันว่า พระองค์ทรงปั้นหุ่นพระพักตร์ด้วยพระองค์เอง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ผู้ที่มากราบไหว้เชื่อกันว่าจะทำให้ “มีชีวิตที่รุ่งโรจน์”
เวลาทำการ 07-30 – 17.30 น. ค่าเข้าชมชาวต่างชาติ 50 บาท





วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนบำรุงเมือง เขตพระนคร เป็นวัดที่ธำรงอยู่เคียงคู่กรุงรัตนโกสินทร์มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งโปรดเกล้าฯให้สถาปนาขึ้น แต่สร้างแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 3
ภายในพระวิหารประดิษฐาน “พระศรีศากยมุนี” พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยที่มีลักษณะงดงามที่สุด หนึ่งในสามองค์ของประเทศ ผนังมีภาพจิตกรรมอันวิจิตรเกี่ยวกับจักรวาล และพระอุโบสถมีความยาวมากที่สุดในประเทศ ผู้ที่มาไหว้พระที่วัดสุทัศนฯ เชื่อว่าจะเป็น “ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป”
เวลาทำการ 08.00 – 21.00 น. ค่าเข้าชมชาวต่างชาติ 20 บาท





วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนอรุณอมรินทร์ เขตธนบุรี โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศบ้านและซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงเพื่อสร้างวัดขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2368 จากนั้นได้ถวายเป็นพระอารามหลวง รัชกาลที่ 3 จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดว่า กัลยาณมิตร เนื่องจากพระองค์และพระยานิกรบดินทร์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันภายในพระวิหารประดิษฐาน “พระพุทธไตรรัตนนายก” หรือ “หลวงพ่อโต” แต่คนไทยเชื้อสายจีนหรือคนจีนเรียกว่า “ซำปอฮุดกง หรือ ซำปอกง” ซึ่งผู้กราบไหว้ต่างขอพรให้ได้พบพาน “เพื่อนที่ดี เป็นกัลยาณมิตร” และ “เดินทางโดยปลอดภัย”
เวลาทำการ 07.00 – 17.30 น. ไม่เสียค่าเข้าชม

ต้นตาลก็ได้พาทัวร์ไหว้พระครบทั้ง 9 วัดแล้วนะคะ วันเข้าพรรษานี้ นอกจากจะชวนลูกหลานไปทำบุญไหว้พระกับวัดแถวๆบ้านแล้ว ก็ลองถือโอกาสวันหยุดในเทศกาลวันเข้าพรรษา ท่องเที่ยวหรรษาแบบครอบครัว ชวนกันไปเที่ยววัดวาอารามกราบไหว้พระ 9 วัดก็ได้นะคะ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างสุขให้กับครอบครัวแล้วยังถือเป็นการขัดเกลาจิตใจให้กับลูกหลานไปในตัวอีกด้วย


ที่มา : กองการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว

27 มิถุนายน 2552

@ ไหว้พระ 9 วัด ในกรุงเทพ (ตอน 2)

งวดเข้ามาทุกที่กับวันสำคัญทางพุทธศาสนาคือ วันเข้าพรรษา ในวันที่ 8 ก.ค.นี้ บางคนอาจจะเตรียมตัวลาพักร้อนไปเที่ยวงานเทศกาลแห่เทียนพรรษา จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นงานที่จัดยิ่งใหญ่ทุกปี เพื่อร่วมด้วยช่วยกันท่องเที่ยวเมืองไทย "เที่ยวอีสานครึกครื้น เศรษฐกิจอีสานคึกคัก" แต่ถ้าใครไม่มีแพลนไปเที่ยวไหนในช่วงหยุดวันเข้าพรรษา และอยู่ในเมืองหลวง ต้นตาลก็ถือโอกาสเชิญชวนไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด เสริมความเป็นสิริมงคลให้กับตนเองและครอบครัว ให้มีความสุขความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ซึ่งคราวที่แล้วได้ชวนไปไหว้พระในวัดที่มีความหมายเป็นสิริมงคลของ “ความมั่นคงในชีวิต” กันไปแล้ว ครั้งนี้จะพาทัวร์ไหว้พระ 9 วัดที่เป็นมงคลถึง “ความมั่นคงของทรัพย์สิน” และ “ความมีชื่อเสียง” นั่นคือ





ความมั่งคั่ง
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ตั้งอยู่ที่ถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร รัชกาลที่1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง เพื่อความสะดวกในการบำเพ็ญพระราชกุศลตามพระราชประเพณีระเบียงพระอุโบสถมีภาพจิตกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่สวยงามและยาวที่สุดในโลก ภายในประดิษฐาน “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” หรือ “พระแก้วมรกต” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย ซึ่งผู้กราบไหว้เชื่อว่า “แก้วแหวนเงินทอง ไหลมาเทมา” อันหมายถึงทำให้มีความร่ำรวย เพราะคนไทยถือว่าแก้วเป็นสัญลักษณ์แทนความมั่นคั่ง ร่ำรวย ฉะนั้นการมาสักการะที่วัดพระแก้ว นอกจากจะได้ชมทั้งความงดงามทางศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมแล้ว ยังจะได้ขอพรตามที่ปรารถนาด้วย
เวลาทำการ 08.30 – 15.30 น. ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 250 บาท





วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร หากต้องการไหว้พระเพื่ออธิษฐานขอให้มั่งคั่งร่ำรวยแล้ว วัดไตรมิตรวิทยาราม ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ เป็นอีกวัดหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องด้วยเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร” หรือ “หลวงพ่อทองคำ” พระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีส่วนผสมของทองคำสูงมาก เรียกว่า ทองเนื้อเจ็ด น้ำสองขา โดยจากฐานองค์พระขึ้นไปเป็นเนื้อทองบริสุทธิ์ร้อยละ 40 พระพักตร์มีเนื้อทองร้อยละ 80 ส่วนพระเกศมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม เป็นเนื้อทองบริสุทธิ์ร้อยละ 99.99ก่อนจะเป็นพระพุทธรูปทองคำอย่างทุกวันนี้ เดิมทีองค์พระหุ้มด้วยพระพุทธรูปปูนปั้น ต่อมามีการอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระวิหารได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อปูนที่หุ้มพระหัตถ์เกิดกะเทาะออกมาจึงพบว่าภายในเป็นพระพุทธรูปทองคำมีลักษณะที่งดงามและสมบูรณ์อย่างยิ่ง ผู้สักการะหลวงพ่อทองคำที่วัดไตรมิตรวิทยารามเชื่อกันว่า “จะประสบความสำเร็จในการค้าขาย และมีความร่ำรวยเงินทอง”
เวลาทำการ 08.30 – 17.00 น. ค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 20 บาท



ความมีชื่อเสียง
วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร เป็นวัดโบราณ ตั้งอยู่บนถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดบางหว้าใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ ระหว่างนั้นได้ขุดพบระฆังใบหนึ่ง จึงพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดระฆังโฆษิตาราม วัดแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระ พุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งเป็นพระเถระผู้ทรงเกียรติคุณและวิทยาคุณที่โด่งดังมากและยังเป็นผู้ที่นำบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์ที่ตกทอดจากลังกามาดัดแปลงให้สมบูรณ์จนกลายเป็นคาถาชินบัญชร ซึ่งหากผู้ใดสวดเป็นประจำแล้วจะเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองตามคติความเชื่อกล่าวกันว่า หากไหว้สมเด็จพระพุฒาจารย์จะมี “ชื่อเสียงโด่งดัง” ดุจระฆัง และ “มีคนนิยมชมชื่น” ไม่สร่างซา
เวลาทำการ 08.00 – 18.00 น.

การเดินทางท่องเที่ยวไหว้พระทำบุญสักการะสถานที่อันเป็นมงคล นอกจากจะได้อานิสงส์ของการไหว้พระสมประสงค์ตามที่ขอพรไว้แล้ว ยังเป็นการเรียนรู้ถึงคุณค่าของโบราณสถานที่สำคัญซึ่งเป็นศิลปวัฒนธรรมไทยอันล้ำค่าอีกด้วย ครั้งหน้าจะพาไปไหว้พระ 9 วัดกับวัดที่มีความหมายถึง “ความมีเสน่ห์และเป็นทีรักของคนทั่วไป"


ที่มา : กองการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬาและท่องเที่ยว