30 มิถุนายน 2552

@ ไหว้พระ 9 วัด ในกรุงเทพ (ตอนจบ)

สวัสดีค่ะ...หลังจากที่ต้นตาลได้พาทัวร์เพื่อท่องเที่ยวไหว้พระในเมืองหลวงไปแล้ว 6 วัด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวัดที่มีชื่อเสียงและมีความหมายเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ถ้าได้มีโอกาสได้ไปสักการะกราบไหว้กัน

วันนี้ก็จะเป็นตอนจบของการเชิญชวนไปทำบุญ “ไหว้พระ 9 วัด” ก่อนที่จะถึงเทศกาล “วันเข้าพรรษา” โดย 2 ตอนที่แล้วได้พูดถึงการไปไหว้พระกับวัดที่เป็นสิริมงคลในด้าน ความมั่นคง มั่งคั่ง และมีชื่อเสียง กันไปแล้ว ครั้งนี้จะพาไปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดที่เสริมสร้างความเป็นสิริมงคลด้าน ความมีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่วไป โดยเริ่มจาก





วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดแจ้ง ตั้งอยู่ที่ถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ เดิมชื่อวัดมะกอก เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา
พ.ศ.2310 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้เสด็จฯ จากกรุงศรีอยุธยามาถึงหน้าวัดมะกอกตอนรุ่งสาง จึงโปรดเกล้าฯให้เทียบเรือพระที่นั่งเพื่อเสด็จฯ ขึ้นไปสักการะพระมหาธาตุและกำหนดพื้นที่เมืองธนบุรีให้เป็นราชธานี พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อวัดมะกอกว่า “วัดแจ้ง”
“พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก” พระประธานในพระอุโบสถ หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยกล่าวกันว่า พระองค์ทรงปั้นหุ่นพระพักตร์ด้วยพระองค์เอง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ผู้ที่มากราบไหว้เชื่อกันว่าจะทำให้ “มีชีวิตที่รุ่งโรจน์”
เวลาทำการ 07-30 – 17.30 น. ค่าเข้าชมชาวต่างชาติ 50 บาท





วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนบำรุงเมือง เขตพระนคร เป็นวัดที่ธำรงอยู่เคียงคู่กรุงรัตนโกสินทร์มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งโปรดเกล้าฯให้สถาปนาขึ้น แต่สร้างแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 3
ภายในพระวิหารประดิษฐาน “พระศรีศากยมุนี” พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยที่มีลักษณะงดงามที่สุด หนึ่งในสามองค์ของประเทศ ผนังมีภาพจิตกรรมอันวิจิตรเกี่ยวกับจักรวาล และพระอุโบสถมีความยาวมากที่สุดในประเทศ ผู้ที่มาไหว้พระที่วัดสุทัศนฯ เชื่อว่าจะเป็น “ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป”
เวลาทำการ 08.00 – 21.00 น. ค่าเข้าชมชาวต่างชาติ 20 บาท





วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนอรุณอมรินทร์ เขตธนบุรี โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศบ้านและซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงเพื่อสร้างวัดขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2368 จากนั้นได้ถวายเป็นพระอารามหลวง รัชกาลที่ 3 จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดว่า กัลยาณมิตร เนื่องจากพระองค์และพระยานิกรบดินทร์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันภายในพระวิหารประดิษฐาน “พระพุทธไตรรัตนนายก” หรือ “หลวงพ่อโต” แต่คนไทยเชื้อสายจีนหรือคนจีนเรียกว่า “ซำปอฮุดกง หรือ ซำปอกง” ซึ่งผู้กราบไหว้ต่างขอพรให้ได้พบพาน “เพื่อนที่ดี เป็นกัลยาณมิตร” และ “เดินทางโดยปลอดภัย”
เวลาทำการ 07.00 – 17.30 น. ไม่เสียค่าเข้าชม

ต้นตาลก็ได้พาทัวร์ไหว้พระครบทั้ง 9 วัดแล้วนะคะ วันเข้าพรรษานี้ นอกจากจะชวนลูกหลานไปทำบุญไหว้พระกับวัดแถวๆบ้านแล้ว ก็ลองถือโอกาสวันหยุดในเทศกาลวันเข้าพรรษา ท่องเที่ยวหรรษาแบบครอบครัว ชวนกันไปเที่ยววัดวาอารามกราบไหว้พระ 9 วัดก็ได้นะคะ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างสุขให้กับครอบครัวแล้วยังถือเป็นการขัดเกลาจิตใจให้กับลูกหลานไปในตัวอีกด้วย


ที่มา : กองการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว

27 มิถุนายน 2552

@ ไหว้พระ 9 วัด ในกรุงเทพ (ตอน 2)

งวดเข้ามาทุกที่กับวันสำคัญทางพุทธศาสนาคือ วันเข้าพรรษา ในวันที่ 8 ก.ค.นี้ บางคนอาจจะเตรียมตัวลาพักร้อนไปเที่ยวงานเทศกาลแห่เทียนพรรษา จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นงานที่จัดยิ่งใหญ่ทุกปี เพื่อร่วมด้วยช่วยกันท่องเที่ยวเมืองไทย "เที่ยวอีสานครึกครื้น เศรษฐกิจอีสานคึกคัก" แต่ถ้าใครไม่มีแพลนไปเที่ยวไหนในช่วงหยุดวันเข้าพรรษา และอยู่ในเมืองหลวง ต้นตาลก็ถือโอกาสเชิญชวนไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด เสริมความเป็นสิริมงคลให้กับตนเองและครอบครัว ให้มีความสุขความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ซึ่งคราวที่แล้วได้ชวนไปไหว้พระในวัดที่มีความหมายเป็นสิริมงคลของ “ความมั่นคงในชีวิต” กันไปแล้ว ครั้งนี้จะพาทัวร์ไหว้พระ 9 วัดที่เป็นมงคลถึง “ความมั่นคงของทรัพย์สิน” และ “ความมีชื่อเสียง” นั่นคือ





ความมั่งคั่ง
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ตั้งอยู่ที่ถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร รัชกาลที่1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง เพื่อความสะดวกในการบำเพ็ญพระราชกุศลตามพระราชประเพณีระเบียงพระอุโบสถมีภาพจิตกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่สวยงามและยาวที่สุดในโลก ภายในประดิษฐาน “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” หรือ “พระแก้วมรกต” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย ซึ่งผู้กราบไหว้เชื่อว่า “แก้วแหวนเงินทอง ไหลมาเทมา” อันหมายถึงทำให้มีความร่ำรวย เพราะคนไทยถือว่าแก้วเป็นสัญลักษณ์แทนความมั่นคั่ง ร่ำรวย ฉะนั้นการมาสักการะที่วัดพระแก้ว นอกจากจะได้ชมทั้งความงดงามทางศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมแล้ว ยังจะได้ขอพรตามที่ปรารถนาด้วย
เวลาทำการ 08.30 – 15.30 น. ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 250 บาท





วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร หากต้องการไหว้พระเพื่ออธิษฐานขอให้มั่งคั่งร่ำรวยแล้ว วัดไตรมิตรวิทยาราม ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ เป็นอีกวัดหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องด้วยเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร” หรือ “หลวงพ่อทองคำ” พระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีส่วนผสมของทองคำสูงมาก เรียกว่า ทองเนื้อเจ็ด น้ำสองขา โดยจากฐานองค์พระขึ้นไปเป็นเนื้อทองบริสุทธิ์ร้อยละ 40 พระพักตร์มีเนื้อทองร้อยละ 80 ส่วนพระเกศมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม เป็นเนื้อทองบริสุทธิ์ร้อยละ 99.99ก่อนจะเป็นพระพุทธรูปทองคำอย่างทุกวันนี้ เดิมทีองค์พระหุ้มด้วยพระพุทธรูปปูนปั้น ต่อมามีการอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระวิหารได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อปูนที่หุ้มพระหัตถ์เกิดกะเทาะออกมาจึงพบว่าภายในเป็นพระพุทธรูปทองคำมีลักษณะที่งดงามและสมบูรณ์อย่างยิ่ง ผู้สักการะหลวงพ่อทองคำที่วัดไตรมิตรวิทยารามเชื่อกันว่า “จะประสบความสำเร็จในการค้าขาย และมีความร่ำรวยเงินทอง”
เวลาทำการ 08.30 – 17.00 น. ค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 20 บาท



ความมีชื่อเสียง
วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร เป็นวัดโบราณ ตั้งอยู่บนถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดบางหว้าใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ ระหว่างนั้นได้ขุดพบระฆังใบหนึ่ง จึงพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดระฆังโฆษิตาราม วัดแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระ พุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งเป็นพระเถระผู้ทรงเกียรติคุณและวิทยาคุณที่โด่งดังมากและยังเป็นผู้ที่นำบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์ที่ตกทอดจากลังกามาดัดแปลงให้สมบูรณ์จนกลายเป็นคาถาชินบัญชร ซึ่งหากผู้ใดสวดเป็นประจำแล้วจะเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองตามคติความเชื่อกล่าวกันว่า หากไหว้สมเด็จพระพุฒาจารย์จะมี “ชื่อเสียงโด่งดัง” ดุจระฆัง และ “มีคนนิยมชมชื่น” ไม่สร่างซา
เวลาทำการ 08.00 – 18.00 น.

การเดินทางท่องเที่ยวไหว้พระทำบุญสักการะสถานที่อันเป็นมงคล นอกจากจะได้อานิสงส์ของการไหว้พระสมประสงค์ตามที่ขอพรไว้แล้ว ยังเป็นการเรียนรู้ถึงคุณค่าของโบราณสถานที่สำคัญซึ่งเป็นศิลปวัฒนธรรมไทยอันล้ำค่าอีกด้วย ครั้งหน้าจะพาไปไหว้พระ 9 วัดกับวัดที่มีความหมายถึง “ความมีเสน่ห์และเป็นทีรักของคนทั่วไป"


ที่มา : กองการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬาและท่องเที่ยว

22 มิถุนายน 2552

@ ไหว้พระ 9 วัดในกรุงเทพฯ (ตอน 1)

เผลอแป๊บเดียววันเวลาปี 2009 ก็ผ่านไปครึ่งปีล่ะ ใครที่ไม่มีเวลาไปท่องเที่ยวในต่างจังหวัดไกลๆ วันนี้จะพาไปสัมผัสแหล่งรวมศิลปวัฒนธรรมไทยอันล้ำค่า ซึ่งอยู่ในเมืองหลวงของเมืองไทยเรานั่นเองกับไหว้พระ 9 วัด อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงวันสำคัญทางพุทธศาสนาคือวันเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8) ในเดือนกรกฎาคมนี้ ถือเป็นเทศกาลทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญเทศกาลหนึ่งในประเทศไทยที่ต่อเนื่องมาจากวันอาสาฬหบูชา (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8) สิ่งที่พิเศษจากวันสำคัญอื่น ๆ ช่วงเข้าพรรษาตลอดทั้ง 3 เดือน พุทธศาสนิกชนชาวไทยนิยมทำบุญด้วยการเข้าวัดทำบุญใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา ถวายหลอดไฟหรือเทียนเข้าพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัยแก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อสำหรับให้พระสงฆ์ได้ใช้สำหรับการอยู่จำพรรษา

นับเป็นโอกาสที่ดีจะได้พาครอบครัว ลูกหลานไปกราบไหว้พระ เพื่อปลูกฝังถึงความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และความเป็นสิริมงคล ก้าวหน้าในชีวิต นอกจากนั้นยังเป็นการท่องเที่ยวชมความงดงามของวัดวาอาราม ศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมืองไทยที่น่าเที่ยวที่สุดแห่งหนึ่ง

คติการไหว้พระ 9 วัด มีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับพุทธศาสนิกชน นอกจากด้วยคำพ้องเสียงของเลข “9” พ้องกับคำว่า “ก้าว” อันหมายถึงความก้าวหน้าเพิ่มพูน ทั้งในด้านความมั่นคงในชีวิต ความมั่นคงของทรัพย์สิน ความมีชื่อเสียง และความมีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่วไปแล้ว ชื่อของวัดยังหมายถึงความมีสิริมงคล อันเป็นการสร้างเสริมกำลังใจที่ดีด้วย
วันนี้จะเชิญชวนไปไหว้พระในวัดที่มีความหมายเป็นสิริมงคลของ “ความมั่นคงในชีวิต” กัน





วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนจักรพรรดิพงษ์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม ในสมัยรัชกาลที่ 1 วัดแห่งนี้เป็นวัดที่มีความงดงามโดดเด่นและเป็นที่ตั้งของพระเจดีย์ที่ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงเทพฯ นั้นคือ บรมบรรพตหรือภูเขาทอง ซึ่งสร้างเป็นรูปภูเขา โดยมีพระเจดีย์สีทองอร่ามอยู่บนยอด รวมความสูง 78 เมตร ผู้ที่ไปวัดนี้สามารถขึ้นไปถึงยอดพระเจดีย์โดยอาศัยบันไดเวียนเป็นทางขึ้น นอกจากจะชมทิวทัศน์อันสวยงามของกรุงเทพฯ บนยอดภูเขาทองแล้ว ยังได้สักการะ “พระบรมสารีริกธาตุ” ที่บรรจุอยู่ในพระเจดีย์เพื่อ “ความเป็นสิริมงคล” และ “ความมั่นคง” ในชีวิต ประดุจภูเขาทองที่ตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงเคียงคู่พระนคร
เวลาทำการ 07.30 – 17.30 น. ค่าเข้าชมบรมบรรพต ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 10 บาท




วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร จากภูเขาทองเดินทางอีกไม่ไกล เป็นที่ตั้งของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจหลากหลาย โดยเฉพาะเจดีย์ 99 องค์ ซึ่งมากที่สุดในกรุงเทพฯ พระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล ประติมากรรมรูปฤาษีดัดตนท่าต่างๆ ซึ่งเป็นสถานที่แรกที่มีการสอนนวดแผนโบราณ และพระนอนขนาดใหญ่มีความยาว 46 เมตร ซึ่งงดงามที่สุดในประเทศ เนื่องจากต้นโพธิ์เป็นไม้ใหญ่ที่มีอายุยืน แผ่กิ่งก้านสาขาแตกใบให้ร่มเงาจึงเชื่อกันว่าการไหว้ “พระพุทธเทวปฏิมากร” ที่วัดโพธิ์ จะทำให้เกิด “ความร่มเย็นเป็นสุข” ในชีวิต
เวลาทำการ 08.00 – 18.00 น. ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 50 บาท





วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร จากถนนข้าวสาร เพียงข้ามมายังถนนจักรพงษ์ เขตพระนคร ก็จะพบกับวัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งคือ วัดชนะสงคราม ซึ่งรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์และให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ เพื่อให้เกียรติแก่ทหารมอญในกองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทที่มีชัยชนะในการรบเหนือข้าศึกถึง 3 ครั้ง ผู้ที่ไปวัดนี้ต้องไปสักการะ “พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์” พระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งด้านหลังองค์พระบรรจุพระอัฐิพระเจ้าลูกเธอกรมพระราชวังบวรฯ ทั้ง 5 รัชกาล ซึ่งจะทำให้เกิดอานิสงส์แห่งความมั่นคงในชีวิต “มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง”
เวลาทำการ 08.30 – 15.30 น. ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 250 บาท

หากมีเวลาก็สามารถเดินทางไปกราบไหว้พระกันได้ทุกโอกาส หรือจะถือโอกาสเหมาะในเทศกาลเข้าพรรษาที่ใกล้จะมาถึงเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต ครั้งหน้าจะพาไปไหว้พระ9วัดกันต่อกับวัดที่เสริมสิริมงคลในเรื่องของ “ความมั่งคั่งในทรัพย์สิน”

ที่มา : กองการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว

15 มิถุนายน 2552

@ มหัศจรรย์เมืองไทยต้องไปสัมผัส

อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าคนที่รักการเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ฝนจะต้องฟ้าจะร้องแค่ไหนก็ไม่หวั่น ที่ได้เดินทางท่องเที่ยวอย่างมีความสุข วันก่อนได้ไปเดินในงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย” ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ไปต่อแถวกรอกแบบสอบถามเพื่อรับหนังสือดีๆ เล่มหนึ่งชื่อเก๋ไก๋ว่า “12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน มหัศจรรย์เมืองไทยต้องไปสัมผัส” ซึ่งใครที่ไปชมงานก็คงมีติดไม้ติดมือกลับบ้านมากันแล้วคนละเล่ม เป็นคู่มือนำทางท่องเที่ยวที่น่าค้นหา เปิดอ่านแล้วยิ่งอยากไปท่องเที่ยวสัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติเมืองไทย เอาแค่สถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุด สวยที่สุด ในแต่ละเดือน ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหน เมืองไทยก็มีความมหัศจรรย์ของธรรมชาติปรากฏให้เห็นทั่วเมืองไทย

ในเดือนมิถุนายน แม้ฝนจะตกพรำๆ ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยที่สุด ที่รอคนไทยออกไปเที่ยวเมืองไทยเดินทางไปสัมผัสถึง 2 แห่ง คือ



1.เที่ยวชมผืนพรมทะเลหญ้าเขียวขจีสวยที่สุดในเมืองไทย ทุ่งแสลงหลวง จ.พิษณุโลก ต้นฤดูฝนที่นี่หญ้าทั้งทุ่งกลายเป็นพื้นพรมเขียวมรกตได้เหลือเชื่อ ทุ่งแสลงหลวง เป็นทุ่งหญ้าสะวันนาที่สวยงามที่สุด เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูฝนราวเดือนมิถุนายน โดยจะเขียวขจีประดุจผืนพรมธรรมชาติ เป็นฤดูกาลแห่งสรรพชีวิตโดยเฉพาะดอกกระเจียวขาว (Curcuma parviflora) นับหมื่นดอกจะแทงช่อขึ้นมารับหยาดฝน นอกจากนั้นทุ่งนางพญา ก็เป็นเส้นทางขี่จักรยานที่มีสภาพธรรมชาติที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทยอยู่ไม่ไกลทุ่งแสลงหลวง กับในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ในลำน้ำเข็กยังมีแมงกะพรุนน้ำจืดให้ชมอีกด้วย จุดชมวิวที่ดีที่สุด เส้นทางเข้าทุ่งนางพญาและบริเวณรอบที่พัก ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ช่วงเช้าราว 07.00 น.

สอบถามเส้นทางการเดินทางและข้อมูลเพิ่มเติม
ททท.สำนักงานพิษณุโลก โทร.0-5525-2742-3, 0-5525-9907



2.เปราะภูในสายหมอกที่แปกดำ ภูหลวง จ.เลย มนต์ขลังของฤดูฝนบนภูหลวงนั่นคือ สายหมอกฉ่ำเย็น ที่เป็นวันเวลาของดอกเปราะภูสีชมพู ซึ่งจะพากันบานสะพรั่งทั้งผืนป่า ล่วงถึงต้นฤดูฝนราวเดือนมิถุนายน บนภูหลวง จ.เลย นั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของดอกไม้ต้นฤดูฝนซึ่งพากันผลิดอกสวยงามขึ้นตามลานหิน เช่นโคกนกกระบาและลานสุริยัน ไกลออกไปในป่าสนบริเวณที่เรียกว่าแปกดำ เดินเท้าถึงในเวลาชั่วโมงเศษๆ ที่นั่นดอกเปราะภูสีชมพู (Caulokaempferia violacea) สวยสดกำลังพากันออกดอกสะพรั่งทั้งผืนป่า มีเวลาสวยที่สุดอยู่แค่เดือนเดียว พลาดปีนี้ต้องรออีกปีหนึ่งถึงจะมีโอกาสอีกครั้ง จุดชมวิวที่ดีที่สุด ป่าสนบริเวณที่เรียกว่าแปกดำ ช่วงเวลาที่ดีที่สุด เวลาที่มีหมอกลงส่วนมากเป็นช่วงเช้า

สอบถามเส้นทางการเดินทางและข้อมูลเพิ่มเติม
ททท.สำนักงานเลย โทร. 0-4281-2812

หากออกไปเที่ยวกันแล้ว และอยากจะสัมผัสความมหัศจรรย์ของแหล่งท่องเที่ยวทั่วเมืองไทยที่น่าดูที่สุด สวยที่สุดในแต่ละเดือน ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ก็ต้องช่วยกันรักษาคงความสวยงามของธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเอาไว้และช่วยกัน...เก็บเมืองไทยให้สวยงาม ด้วยการ “ท่องเที่ยวทั่วไทย...ด้วยใจรักษ์”

ที่มา...เรื่อง-ภาพ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

08 มิถุนายน 2552

@ Hua Hin Jazz Festival 2009 : 12 - 14 June 2009



สถานที่ บริเวณชายหาดหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ที่สุดแห่งความอลังการและยิ่งใหญ่กว่าที่ผ่านมา อีกครั้งกับงาน “หัวหินแจ๊สเฟสติเวล 2009” กลับมาให้ได้ชมกันอีกครั้ง กับเทศกาลแจ๊สสุดฮิป เติมสีสันสุดมันส์ให้ชีวิตในงาน “หัวหินแจ๊สเฟสติเวล 2009”ที่บรรดาคอเพลงแจ๊สตั้งตารอคอย ครั้งนี้นับว่าเป็นปรากฎการณ์ใหม่ ที่จะทำให้ผู้ชื่นชอบเพลงแจ๊ส เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขมากยิ่งขึ้น เพื่อให้คอเพลงแจ๊สได้ดื่มด่ำกับดนตรีแจ๊สหลากหลายสไตล์ ระหว่างวันที่ 12-14 มิถุนายนนี้ เวลา 16.30 – 24.00 น. ทั้งหมด 2 เวที คือ บีช สเตจ (BEACH Stage) ตั้งอยู่บริเวณชายหาดหัวหิน ส่วนอีกเวทีคือ แจ๊ส รอยัล สเตจ (JAZZ ROYALE Stage) ตั้งอยู่บริเวณสวนสาธารณะโผนกิ่งเพชร ทั้งสองเวทีจะมีทั้งศิลปินไทย และต่างประเทศสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นเวทีตั้งแต่เวลาประมาณ 4 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ซึ่งวัตถุประสงค์หลักในการจัดงานก็เพื่อยกย่องสดุดีในพระอัจฉริยภาพทางดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์อัครศิลปินที่ยิ่งใหญ่ของโลก และเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีเมืองหัวหิน โดยเน้นคอนเซ็ปต์ “หัวหิน กรีนแจ๊ส” รณรงค์ให้ผู้ร่วมงานตระหนักถึงภาวะโลกร้อนด้วยการปลูกต้นไม้และเก็บขยะรอบ ๆ ชายหาดหัวหิน

งานนี้ยังนับว่ามีเหล่าศิลปินทั้งไทยและเทศ ยกทัพมากันมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว!!

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : Call Center 66-2-619-7777, 66-2-673-7044




กำหนดการแสดง

Beach Stage ชายหาดหัวหิน

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2552 (Friday 12 June 2009)
16.30 – 17.30 - DJ : Opening Ceremony
17.50 – 18.50 - The Infinity (Thai)
19.10 – 20.10 - Noon (Japan)
20.30 – 22.00 - Koh : Mr Saxman + Hank (Thai)
22.20 – 23.50 - POPSANOVA ( Brazil )

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2552 (Saturday 13 June 2009)
16.30 – 17.30 - ESTRELLA (Malaysia)
17.50 – 18.50 - The Bangkok International Big Band Thai)
19.10 – 20.40 - DOOBADOO+ LULA (Thai)
21.00 – 22.00 - MOCCA (Indonesia)
22.20 – 23.50 - SHAKATAK (UK)

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2552 (Sunday 14 June 2009)
16:. 0 – 17.15 - Mellow Motif (Thai)
17.35 – 18.35 - The BRASS MUNKEYS (Phil)
18.55 – 19.40 - Bangkok Connection (Thai)
20. 0 – 21.00 - MALENE Mortensen (Denmark)
21.20 – 22.20 - Ford & The Band + วิยะดา (Thai)


Jazz Royale Stage ลานโผนกิ่งเพชร

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2552 (Friday 12 June 2009)
18.00 – 18.45 - Wednesday April (Thai)
19.05 – 20.05 - เกล ดีล่า (Thai)
20.25 - 21.25 - GAS GIANT (Thai)
21.45 – 22.42 - MOCCA (Indonesia)
23.05 – 00.05 - หนึ่ง จักรวาล (Thai)

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2552 (Saturday 13 June 2009)
16.30 – 17.30 - Ford & The Band (Thai)
17.50 – 18.50 - NOON (Japan)
19.10 – 20.10 - The Infinity (Thai)
20.30 – 21.30 - The BRASS MUNKEYS (Phil)
21.50 – 23.20 - Koh : Mr Saxman + Hank (Thai)

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2552 (Sunday 14 June 2009)
16.30 – 17.15 - COLOUR PITCH (Thai)
17.35 – 18.20 - ESTRELLA (Malaysia)
18.40 – 19.40 - นุ้ย วิริยาภา (Thai)
20.00 – 20.45 - DOOBADOO (Thai)
21.05 – 22.05 - Zao Za-Dung Band (Thai)


04 มิถุนายน 2552

@ โฮมสเตย์กระชัง “ป้าติ๊ด” จ.ระยอง

ช่วงนี้ฤดูฝน ใครที่ชื่นชอบการเที่ยวทะเล ก็คงจะอดเป็นห่วงไม่น้อยกลัวว่าจะเที่ยวไม่สนุก เดี๋ยวเจอฝน เดี๋ยวเจอมรสุม แต่อย่างว่าคนที่รักทะเล ก็อาจจะอดใจไว้ไม่ไหว วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็อยากจะไปเที่ยวพักผ่อนสบายๆ แล้วค่อยกลับมาลุยงานกันใหม่ในวันจันทร์ ต้นตาลชวนให้ลองไปสัมผัสวิถีชีวิตชาวเลที่ “กระชังป้าติ๊ด” โฮมสเตย์แบบบ้านๆ เป็นกระชังหลังเขื่อนของ “ป้าติ๊ด-ลุงฟอง” อยู่ห่างจากฝั่งบ้านเพแค่ 400 เมตร ซึ่งการเดินทางไปบ้านเพ จ.ระยอง ก็แสนสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว หรือรถทัวร์ ไม่ต้องห่วงเรื่องฝนฟ้าอีกต่อไป

พอไปถึงท่าเทียบเรือเทศบาลตำบลบ้านเพ ก็โทร.บอกป้าติ๊ดให้ลุงฟองเอาเรือมารับที่ท่าได้เลย ถ้ารวมแก๊งกันไปเกิน 7 คน ลุงแกก็จะเอา Speed Boat มารับ ถ้าน้อยคนก็จะเป็นเรือเครื่องมารับแทน (ช่วยลุงแกประหยัดน้ำมัน..หน่อย) การเข้าพักโฮมสเตย์กระชังป้าติ๊ด ก็เช็คอิน-เช็คเอ้าท์เหมือนโรงแรมหรือรีสอร์ท เป๊ะๆ เข้าเที่ยง-ออกเที่ยงวันรุ่งขึ้น ค่าเข้าพักโฮมสเตย์คิดหัวละ 900 บาท พร้อมอาหารมื้อเย็น เมนู 5 อย่าง บริการด้วยอาหารทะเลสดๆ (เรียกว่า...สดจากกระชัง..กันเลยทีเดียวเชียว) และมื้อเช้าก็เป็นข้าวต้มกับกาแฟ แต่ถ้าจะมาพักผ่อนแค่ชิมอาหารแบบกินลมชมวิวแล้วไม่พัก ก็เหมือนเดิมเสิร์ฟด้วยเมนูอาหาร 5 อย่าง คิด 500 บาท / หัว อาหารของป้าแกรสเยี่ยมมากขอบอก เป็นอาหารตามสั่งที่ตามใจคนทาน สั่งมาเถอะทำได้หมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ปลาเก๋าต้มยำ ปลากะพงตัวใหญ่ (ป้าแกเน้นมาก...ว่าต้องตัวใหญ่เท่านั้น) จะลวก จะเผา หรือทอดราดน้ำปลา ทำปลาสามรส ปลานึ่งมะนาว (หุ...หุ เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งนะ เพราะอาหารต่อมื้อ เมนูแค่ 5 อย่างนะจ๊ะ) หรือจะเป็นเมนูของหอยกระโดด หอยชักตีน กุ้ง ปลาหมึก ปู เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด เสิร์ฟทีจานใหญ่ๆ ทานกันพุงกาง รับรองถูกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว


หากจะพักโฮมสเตย์กระชังแห่งนี้ไม่ต้องห่วง ป้าติ๊ดมีที่นอน หมอน มุ้งไว้บริการเพียบพร้อม จะมาเป็นแก๊ง 20 คนก็รับไหว ใครอยากกางเต๊นท์นอนนอกเพิงริมกระชัง ยิ้มกริ่มนอนดูดาว ตกหมึกตกปลากลางแสงจันทร์ (อ้อ..อย่าตกในกระชังของป้าแกนะ) ก็พักผ่อนได้ตามอัธยาศัย ที่นี่ใช้ไฟปั่นจะเปิดไฟให้แค่เที่ยงคืน แต่ถ้ายังสังสรรค์ติดลม ป้าติ๊ดแกก็ใจดีเปิดแบตเตอรี่ให้ดวงหนึ่ง ตื่นเช้าขึ้นมาอากาศก็สดใส เพลิดเพลินที่ได้เห็นวิถีชีวิตชาวประมง ที่ออกไปหาปูหาปลา นำเรือเข้าเทียบฝั่ง หรือจะเดินดู ปลา ปู กุ้ง เต่า ม้าน้ำ ในกระชังที่ป้าติ๊ด-ลุงฟองแกเลี้ยงไว้ ก็เพลินตาเพลินใจไปอีกแบบ

“ป้าเป็นคนรักทะเล ผูกพันกับทะเล หากินกับทะเลมาตั้งแต่เด็ก อยู่ที่นี่ก็ชอบไปนั่งดูดาว ดูเดือน หลานชายบอกว่าอยากทำโฮมสเตย์ เป็นรายได้เสริม เอาไว้เป็นค่าอาหารปลาที่เลี้ยงบ้าง ทำมาหลายปีแล้ว มีมาพักกันเรื่อยๆ มาแล้วประทับใจในบริการ ถูกใจในอาหารและบริการ กลับไปก็เอาไปบอกต่อๆกัน “ปากต่อปาก” เล่าสู่กันฟัง ซึ่งป้าก็ทำของป้าไปตามความเป็นจริง”

เอ้า...ใครอยากชวนกันไปสัมผัสบรรยากาศโฮมสเตย์กระชังและชิมอาหารทะเลอร่อยๆ ก็โทร.ไปหาป้าตี๊ดแกได้ที่โทร. 08-1862-7147

03 มิถุนายน 2552

@ ชวนไปงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 3-7 มิถุนายน 2552


าเที่ยวเมืองไทยกันเถอะนะ...ตามสโลแกน “เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทย คึกคัก” ครั้งนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดยิ่งใหญ่ ณ อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี เพื่อประชาสัมพันธ์เชิญชวน "คนไทย" เที่ยว "เมืองไทย" ออกมาท่องเที่ยวช่วยเศรษฐกิจของชาติ ซึ่งจะว่าไปแล้วเมืองไทยของเรามีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย ใน 1 ปี จะเที่ยวได้ครบรึเปล่า...ยังไม่รู้เลย จริงมั๊ย? งานนี้ ททท.บอกให้เราเตรียมตัว เตรียมใจ ไปรู้จักการเที่ยวไทยที่หลากหลายและชวนให้หลงใหล ก็เลยนำมากระชิบบอกต่อให้เหล่าสาวกที่ชื่นชอบท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจให้ได้รับทราบ เผื่อมีแคมเปญหรือแพคเกจเที่ยวไทยดีๆ ก็จะได้รวมพลพรรค เพื่อนพ้องน้องพี่ เที่ยวพักผ่อนให้ชื่นฉ่ำใจ ชมฟรีตลอดงาน ตั้งแต่วันที่ 3 - 7 มิ.ย.นี้ ที่อาคาชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี

แถมพ่วงด้วยกิจกรรมดีๆ “ท่องเที่ยวสดใส ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” กับโครงการปฏิญญารักษาสิ่งแวดล้อม 7 Greens ที่ห้องจูปิเตอร์ 4-7 อาคารชาเลนเจอร์ ในวันศุกร์ที่ 5 มิ.ย. เวลา 10.00 – 16.00 น. งานนี้ก็ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ที่แน่ๆ อย่าลืม !!!...สาวกท่องเที่ยวคนไหนมีถุงผ้าเพื่อโลกร้อนเหลือใช้ นำติดไม้ติดมือไปบริจาคร่วมโครงการ “ถุงผ้าแลกไข่” ถุงผ้า 1 ใบ ต่อ 1 ท่าน แลกไข่เค็มออแกนิกส์ ได้ 2 ใบ โดยจะนำถุงผ้าที่ได้ไปมอบให้หมู่บ้านต่างจังหวัด ในโครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community Based Tourism) กันด้วยนะจ๊ะ จะได้ช่วยกันเป็นส่วนหนึ่งในการ “รักษ์โลก”

โดยพบกับกิจกรรม การเสวนาและแสดงความคิดเห็นในเรื่องของการท่องเที่ยวกับภาวะโลกร้อน ด้วยแนวคิด 7 Greens เป็นบันไดไปสู่ “การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและลดปัญหาภาวะโลกร้อน”, กิจกรรมและนิทรรศเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและหน่วยงานภาคี มี 7 Greens showcase ตัวอย่างแหล่งท่องเที่ยว Green Market พบกับตลาดสีเขียว สินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม,นิทรรศการจากหน่วยงานภาคีต่างๆ ,นิทรรศการแลหลังท่องเที่ยวและผลงานการขยายผลใน 5 ภูมิภาค และนิทรรศการการประกวดตราสัญลักษณ์แนวคิด 7 Greens

เป็นไงบ้าง อย่าลืม!!!...เตรียมตัว เตรียมใจไปรู้จักการเที่ยวไทย “Amazing Thailand ที่หลากหลายและชวนหลงใหล ต้นตาลก็เป็นคนหนึ่งที่อยากไปมากๆ แต่ไม่รู้จะติดงานรึเปล่า หุ..หุ..มี "ถุงผ้าช่วยลดโลกร้อน" มาอวดด้วย วันหนึ่งไปตลาดสด แถวนั้นมีร้านเย็บผ้าอยู่พอดี จึงเข้าไปถามขอ “เศษผ้า” ที่พี่เจ้าของร้านเค้าเหลือใช้จริงๆ กะเอามาซ้อมมือลองเย็บถุงผ้าดูสักหน่อย พี่เค้าก็ใจดีให้มาโดยไม่คิดกะตังค์ บอกว่า “ถ้าน้องไม่มาถามเอา ในถุงนี้ก็เตรียมจะทิ้งอยู่แล้ว” โฮ้โฮ...ทำไมเราโชคดียังงี้นะ พอมีเวลาว่างก็เลยเอามาประดิดประดอยเป็น “ถุงผ้าสีสันสดใส” ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจไม่น้อย ไม่รู้จะได้มีโอกาสเอาไปแลก “ไข่เค็มออแกนิกส์” มั๊ยหนอ อิ..อิ